ช่วงต้นสัปดาห์ ชาวกัมพูชาได้สูญเสียบุคคลสำคัญของหน้าประวัติศาสตร์คนหนึ่งไป พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตพระมหากษัตริย์ของกัมพูชาเสด็จสวรรคตด้วยพระอาการพระหทัยวาย
ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม สิริรวมพระชนมายุได้ 89 พรรษาพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงเป็นกษัตริย์ที่นับได้ว่ามีบทบาทในทางการเมืองมากที่สุดพระองค์หนึ่งของโลก จนกินเนสส์บุ๊กบันทึกไว้ว่าพระองค์ทรงเป็นนักการเมืองที่ทรงดำรงตำแหน่งทางการเมืองมากที่สุดในโลก กล่าวคือ ทรงเคยเป็นทั้งพระมหากษัตริย์ ประมุขแห่งรัฐ หรือตำแหน่งกษัตริย์ที่ไม่ได้รับการบรมราชาภิเษก ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา รวมถึงประมุขแห่งรัฐของรัฐบาลพลัดถิ่นของพระองค์เองด้วย
พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระราชสมภพเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2465 ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต และสมเด็จพระมหากษัตริยานีสีสุวัตถิ์ กุสุมะ นารีรัตน์ สิริวัฒนา พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ครั้งแรกในเดือนกันยายนปี 2484 ด้วยการแต่งตั้งของฝรั่งเศสซึ่งครอบครองกัมพูชาเป็นอาณานิคมอยู่ในขณะนั้น
ต่อมาในปี 2498 พระองค์ได้สละราชสมบัติให้กับพระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต พระราชบิดา เพื่อมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ดีหลังจากพระราชบิดาของพระองค์เสด็จสวรรคตในปี 2503 พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ได้ขึ้นดำรงประมุขแห่งรัฐ จนกระทั่งถูกนายพลลอน นอล ก่อการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลของพระองค์ในปี 2513 จนต้องลี้ภัยไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นอยู่ในประเทศจีนเป็นระยะเวลาหนึ่ง
พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงกลับมาขึ้นครองราชสมบัติอีกครั้งในปี 2536 หลังจากกัมพูชาเผชิญกับความวุ่นวายทางการเมืองยืดเยื้อมาเป็นเวลาหลายปี ก่อนที่จะสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2547 ให้กับพระโอรสคือ สมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันของกัมพูชา ในขณะที่ทรงมีพระชนมายุ 82 พรรษา
พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่อยู่ในความทรงจำของชาวกัมพูชา โดยเฉพาะคนรุ่นเก่า โดยสำหรับคนเหล่านั้น พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของยุครุ่งเรืองของกัมพูชา ซึ่งเป็นยุคที่กัมพูชาประกาศอิสรภาพจากการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสและประเทศอยู่ในความมีเสถียรภาพ ก่อนจะเผชิญกับความขัดแย้งรุนแรงในยุคเขมรแดง
พระศพของพระองค์จะถูกอัญเชิญกลับกัมพูชาในวันพุธที่ 17 ตุลาคม โดยกัมพูชากำหนดให้มีการไว้ทุกข์เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ ระหว่างวันที่ 17-23 ตุลาคม จากนั้นอีกประมาณ 3 เดือนข้างหน้าจะมีการประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ
แหล่งที่มา:จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ